ผู้ประกอบการด้านธุรกิจเบเกอรี่ส่วนใหญ่ ให้ความสนใจและเริ่มทำเมนูง่ายๆ อย่างสปันจ์และชิฟฟ่อน เพราะเค้กทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นเค้กที่มีเนื้อนุ่มละมุนลิ้น วิธีการทำไม่ยุ่งยาก รสชาติอร่อยและราคาถูก ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบดีเรื่องความแตกต่างของเนื้อเค้กทั้ง 2 ชนิดนี้ รวมถึงเนื้อเค้กแต่ละชนิดเหมาะกับทำเบเกอรี่ประเภทใด ถ้าจะเริ่มต้นทำธุรกิจเบเกอรี่ ก็ต้องเริ่มจากทำความรู้จักกับเนื้อเค้กสปันจ์และเค้กชิฟฟ่อนกันก่อนเลย
เค้กชิฟฟ่อน | เค้กสปันจ์ | |
---|---|---|
ลักษณะเด่น | เค้กเนื้อเบา นุ่ม หนา สปริงตัวดี ไขมันไม่มาก | เนื้อเค้กละเอียด นุ่มละมุนลิ้น เลือกใช้งานได้หลากหลาย อาทิเมนูคัพเค้ก แยมโรล ฯลฯ |
วัตถุดิบหลัก | แป้งสาลี, ไข่ไก่ (เบอร์2), น้ำมันพืช, น้ำตาลทราย, ผงฟู, เกลือป่น และนมข้นจืด | แป้งสาลี, ไข่ไก่ (เบอร์2), เนยสดชนิดเค็มละลาย, น้ำตาลทราย, ผงฟู, เกลือป่น และนมข้นจืด |
วิธีทำ |
|
ตีไข่ไก่และน้ำตาลด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งเนียนละเอียด เติมส่วนผสมแป้งและอื่นๆ คนเร็ว ๆ แต่เบามือ เพื่อป้องกันการยุบตัวของส่วนผสม |
เทคนิค |
|
|
เมนูจากเนื้อเค้ก | เค้กชิฟฟอนมะพร้าวอ่อน, เค้กชิฟฟอนชาเขียว, เค้กชิฟฟอนนมสด, เค้กชิฟฟอนใบเตย ฯลฯ | เค้กหน้านิ่ม คัพเค้ก แยมโรล ฯลฯ |
วิธีการเก็บรักษา | ควรเก็บไว้ในตู้เย็น (ระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน) | ควรเก็บไว้ในตู้เย็น (ระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน) |
วิธีการคำนวณต้นทุน/กำไร/ราคาขาย **หมายเหตุราคาของวัตถุดิบขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้และปริมาณ** |
|
|
เรียกว่าเนื้อเค้กทั้งสองชนิดมีลักษณะโดดเด่น แตกต่างกันออกไป เค้กสปันจ์ สามารถนำไปทำเบเกอร์รีได้หลากหลายเมนู ส่วนชิฟฟ่อน เนื้อเค้กจะมีความยืดหยุ่น ทานแล้วสัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เคล็ดลับความอร่อยที่ได้จากการใส่นมข้นจืด ซึ่งช่วยทำให้เค้กมีเนื้อนุ่มเนียน ละเอียด น่ารับประทาน ผู้ประกอบการทุกคนอย่าลืมนำเทคนิคต่างๆ ที่แนะนำไว้ไปลองปรับใช้ดู เพื่อช่วยให้การทำเบเกอรี่ง่ายยิ่งขึ้น